วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวอย่างวิธีการใช้พระผงจักรพรรดิให้เกิดประโยชน์


ตัวอย่างวิธีการใช้พระผงจักรพรรดิให้เกิดประโยชน์

พระผงกำลังจักรพรรดิที่หลวงตาม้าท่านสร้างขึ้นมานี้ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้สารพัด รักษาโรคได้ทุกโรค อีกทั้งยังนำไปกำทำสมาธิได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านปลุกเสกโดยการอัญเชิญบารมีของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด พระอริยสงฆ์ผู้ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้ามาไว้ในองค์พระ พระทุกๆองค์จึงมาหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่อยู่ข้างในนั้น ผู้ใดที่มีความศรัทธาเชื่อมั่น นอกจากจะนำมากำทำสมาธิจนเห็นผลได้แล้ว ยังสามารถนำพลังงานบุญที่สถิตย์อยู่ในองค์พระ แผ่ออกไปช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วสามโลกธาตุได้อีกด้วย และยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายซึ่งจะขอกล่าวถึงในภายหลัง

สิ่งที่ผมกล่าวไปข้างต้นนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ ทุกคนสามารถทำได้ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรามีความศรัทธาเชื่อมั่นหรือเปล่า ถ้าเชื่อมั่นศรัทธา บวกเข้าด้วยความจริงใจและจริงจังก็จะสามารถนำพลังงานบุญที่อยู่ในองค์พระไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแน่นอน....

สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา
ปัจเจกานัญ จะยังพลังอะระหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง พันทามิ สัพพโส
(3 หรือ 5จบก็ได้)
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ


พระคาถาบทนี้ หลวงตาม้าท่านเรียกสั้นๆว่าเป็น"บทสัพเพฯ"หรือบทอัญเชิญพระเข้าตัว(แล้วแต่จะอธิษฐาน) ซึ่งพระคาถาบทนี้ หลวงตาม้าท่านใช้ในการแผ่บุญ ปรับภพภูมิ แผ่เมตตาให้แก่สรพพสัตว์ทั้งหลายที่มีความทุกข์

1.วิธีการนำพระผงจักรพรรดิมาใช้ในการแผ่เมตตาหรือแผ่บุญ


ให้ทำใจสบายๆ...กำพระผงจักรพรรดิเอาไว้ ไม่ต้องเกร็งหรือเพ่งปล่อยตามสบาย จากนั้นนึกถึงหลวงปู่ดู่หรือหลวงปู่ทวดก็ได้ นึกด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น เพราะเรานึกถึงท่านปุ๊ป ท่านก็มาหาเราปั๊ป หลวงตาม้าท่านอธิบายไว้ว่าเรานึกถึงหลวงปู่ดู่ครั้งเดียว ท่านไป-กลับเรา 7-10รอบเลยทีเดียว ท่านไวมาก ดังนั้นเรานึกถึงท่าน ท่านก็มา

จากนั้นให้นึกอธิษฐานบอกท่านไปในใจ ขอบุญบารมีท่านแผ่ไปให้กับใครก็แล้วแต่จะอธิษฐาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นผม ผมจะบอกว่า "หลวงปู่ช่วยแผ่บุญให้กับวิญญาณเจ้าของเนื้อหมูที่ผมกำลังจะกินอยู่ตอนนี้ด้วยนะครับ" จากนั้นก็ท่องบทสัพเพฯในใจ พร้อมๆกับนึกถึงหลวงปู่และเนื้อหมูรวมถึงวิญญาณเจ้าของเนื้อไปด้วย

เพียงเท่านี้แหละครับ กำลังบุญบารมีของหลวงปู่ดู่รวมกับกำลังบุญพระรัตนไตรที่สถิตย์ประดิษฐานอยู่ในองค์พระผงจักรพรรดิ ก็จะแผ่ออกไปให้กับวิญญาณหมูตัวนั้นทันที ถ้าหมูตัวนั้นมีบุญอยู่ด้วยแล้ว เขาจะหลุดจากอัตภาพที่เป็นวิญญาณหมู ไปเกิดเป็นเทวดาโดยทันทีทันใดเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเราส่งวิญญาณหมูให้ไปเกิดเป็นเทวดาได้นะ หลวงปู่ดู่ต่างหากที่ท่านเป็นคนส่งให้ เราเป็นเพียงผู้อธิษฐานเฉยๆ หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าแกแผ่เองไม่ได้(หมายถึงทำเองไม่ได้) นึกถึงข้านี่ ข้าแผ่ให้เอ็งได้!"

บุญเป็นของดี จะเอาไปให้ใครก็ได้ จะสัพเพไปให้เทวดาเทพพรหมประจำบ้าน ผีสางนางไม้แห่งหนใด หรือบุคคลผู้ใดก็ตาม ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย ล้วนเกิดประโยชน์ทั้งนั้น เพราะบุญเป็นสิ่งที่พึ่งได้จริง ในโลกนี้สิ่งที่บันดาลให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือร้ายตามชะตาชีวิตของแต่ละคน ก็ล้วนเป็นเพราะบุญหรือบาปที่เคยทำเอาไว้ทั้งนั้น อย่าได้ประมาทในผลของกรรมเลย บางทีบุญเขาอาจจะกำลังหมด บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีตกำลังจะตามมาสนอง เราแผ่บุญให้เขาไปย่อมเป็นการเกิดประโยชน์

ยังมีอีกหลายวิธี เดี๋ยวจะมาเขียนต่อในวันถัดไปนะครับ
ธรรมรักษา

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พุทธคุณของพระที่หลวงปู่หลวงตาเป็นผู้อธิษฐานจิต




"พระผงจักรพรรดิ" เป็นชื่อเรียกพระเครื่องที่หลวงตาม้าท่านได้ทำการสร้าง และอธิษฐานจิตตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ซึ่งท่านได้ใช้"ผงมหาจักรพรรดิ"ของหลวงปู่ดู่เป็นมวลสารในการสร้างพระ และพระที่ท่านสร้างนี้ ท่านได้ทำการแจกฟรีมาตลอด ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์โดยหวังเพียงว่าจะมีผู้นำพระของท่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์

หากจะบรรยายพุทธคุณของพระผงจักรพรรดิหรือพระที่อธิษฐานจิตโดยหลวงปู่ดู่หรือหลวงตาม้า คงจะไม่สามารถบรรยายได้หมด เหตุก็เพราะว่าพลังงานในพระมีมากมายมหาศาล จนเรียกได้ว่าอธิษฐานขอในสิ่งที่เ็ป็นประโยชน์ได้ตามใจนึก ประดุจแก้วสารพัดนึกเลยทีเดียว ท่านได้ทำการอธิษฐานจิตรวมกำลังพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจก พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ พระธรรมเ้จ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมดทั้งมวลรวมมาไว้ในองค์พระนี้

ซึ่งไม่แปลกที่ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างเคยมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน แคล้วคลาด รอดตายมาแล้วนับไม่ถ้วน หรือจะเป็นลูกศิษย์อีกหลายๆคนที่สามารถหมดปัญหาเรื่องหนี้สินและกลับมาร่ำรวย นี่ก็เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่ดู่และพระผงจักรพรรดิ อีกทั้งยังเป็นเมตตา่มหานิยม เป็นที่รักของคนและเทวดา หรือภูติผีปีศาจทั้งหลาย นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยและของไม่ดีไม่ให้เข้าตัวได้อีกด้วย หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า ให้ใส่พระของท่านเอาไว้ เพราะว่าพระของท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งนิวเคลียร์ รังสีจากนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ไข้หวักนก ไข้หวัดหมูที่ระบาดกันอยู่เวลานี้ ท่านก็บอกว่าพระของท่านสามารถป้องกันได้ ให้ใส่ไว้เถอะ ซึ่งกระผมเองเคยพบลูกศิษย์หลวงปู่หลวงตามามาก ก็ยังไม่เห็นผู้ใดที่ห้อยพระเอาไว้แล้วจะเป็นไข้หวัดร้ายแรงเหล่านี้เลย

แต่จะเป็นประโยชน์กว่านั้น ถ้าหากว่าเราผู้ที่มีพระของหลวงปู่หลวงตา จะนำองค์พระมากำเพื่อทำสมาธิ เพื่อภาวนา เหตุก็เพราะว่าท่านได้ทำการอธิษฐานจิตเอาไว้ด้วยว่า ผู้ใดที่ก็ตามที่ได้พระไป ขอให้มีครบทั้งศีล สมาธิ ปัญญา่ ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่นำพระไปกำภาวนาทำสมาธิ พลังงานจากองค์พระจะเข้าไปที่จิต ช่วยทำให้เราเกิดสมาธิ มีจิตใจที่สงบสบาย ไม่ร้อนรุ่มไปด้วยกิเลสตัณหา ดังที่มนุษย์ยุคปัจจุบันกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้

หลวงตาม้าท่านยังสร้างและอธิษฐานจิตพระผงจักรพรรดิจนถึงทุกวันนี้ และท่านแจกฟรีให้กับทุกผู้ทุกคนเสมอ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นใครหรือดีร้ายประการใดก็ตาม ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า "โจรมันกลับใจได้ ทำไมโจรจะกลับใจไม่ได้ล่ะ" หากท่านต้องการพระผงจักรพรรดิ ขอให้เดินทางไปที่วัดพุทธพรหมปัญโญ(วัดถ้ำเมืองนะ) นอกจากจะได้กราบพระสุปฏิปันโณอันปฏิบัติีดีปฏิบัติชอบเช่นหลวงตาม้าแล้ว ยังจะได้พระดีๆมาคล้องจิตคล้องใจกันถ้วนหน้า สาธุ!!

ป.ล. หากผู้ใดไม่สะดวกไปวัด ก็สามารถติดต่อขอรับได้กับลูกศิษย์หลวงปู่หลวงตาทุกท่าน พระผงทุกองค์ของหลวงตาม้านั้น ท่านแจกฟรีทั้งหมด ยกเว้นพระบางรุ่นที่ไม่ใช่พระผง เพราะต้องใช้ต้นทุนในการทำ เช่น เหรียญดวงโพธิญาณ เป็นต้น

การปฏิบัติธรรมตามสูตรหลวงปู่ดู่และหลวงตาม้า


หากกายสบาย จิตก็จะสบาย

การปฏิบัติธรรมตามแบบฉบับของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ไม่มีอะไรยากเพราะทุกคนสามารถทำได้ ขอแค่เพียงสละเวลาวันละ 3-5 นาทีมาปฏิบัติธรรมเป็นประจำทุกวัน ซึ่งจะทำที่ไหนก็ได้ อยู่บ้านก็ทำได้ ขอเพียงมีใจที่เคารพศรัทธาในพระรัตนไตรเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ก่อนจะเริ่มทำก็กราบพระเสียก่อน จะกราบที่หิ้งพระหรือที่หัวเตียงก็ได้ หากหัวเตียงไม่มีพระ ก็ให้นึกถึงพระแล้วกราบลงไป คนเราหากนึกถึงพระอยู่ กราบลงไปเมื่อใดก็ถึงพระท่านเสมอ

จากนั้นก็นั่งในอริยาบทสบายๆ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ จะนั่งเหยียดขาก็ได้ แล้วให้นึกท่องในใจว่า

"พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"


ซึ่งพระคาถาบทนี้เรียกว่าพระไตรสรณคมน์ อันมีความหมายว่า

"ขอยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง"


หรือจะใช้บทพระคาุถามหาจักรพรรดิก็ได้ ซึ่งพระคาถานี้มีอยู่ว่า

"นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสหัสสสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ยะธาพุทโมนะ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อัคคีทานัง วะรังคันธัง สิวลีจะมหาเถรัง
อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ทาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ"


เลือกเอาบทใดบทหนึ่ง ซึ่งระหว่างท่องนั้นให้นึกถึงพระที่เราชอบไปด้วย จะเป็นพระพุทธชินราชก็ได้ พระพุทธโสธรก็ได้ พระพุทธนิมิตก็ได้ พระแก้วมรกตก็ได้ หรือจะเป็นหลวงปู่ดู่ก็ได้ เพราะหลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า
"แกนึกถึงข้า ข้าก็นึกถึงแก แกไม่นึกถึงข้า ข้าก็ยังนึกถึงแก"


ให้ท่องในใจไปเรื่อยๆ ท่องจบก็เริ่มใหม่ ท่องจบก็เริ่มใหม่
อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทำด้วยใจสบาย ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็ง
อย่างนี้เขาเรียกว่า ภาวนา

หากจำภาพพระที่เราชอบไม่ได้ ก็ให้หารูปมานั่งดู ดูรูปไปด้วยภาวนาไปด้วย ทำอย่างนี้วันละ 3-5 นาทีทุกๆวัน โดยข้าพเจ้าขอแนะนำให้ทำตอนตื่นนอนหรือไม่ก็ก่อนนอน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ธาตุขันธุ์(ร่างกาย)ได้รับการพักผ่อน จิตจะพลอยสบายไปด้วย นี่แหละคือกรรมฐานสูตรหลวงปู่ดู่


หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวได้ใจความว่า
"กรรมฐานสูตรหลวงพ่อ(ดู่)เป็นกรรมฐานผู้ใหญ่
ครูคือพุทธะ ธัมมะ สังฆะ ครูคือหลวงพ่อ(ดู่)"


อันที่จริงแล้วหากจะให้ครบเครื่องเรื่องการปฏิบัติตามแนวหลวงปู่ดู่ จะต้องมีพระเครื่องอย่างน้อยหนึ่งองค์เอาไว้กำขณะภาวนา ซึ่งพลังงานพุทธคุณจากพระเครื่องจะช่วยให้จิตเราสงบเป็นสมาธิหรือเบาเย็นสบาย โดยขณะกำและภาวนานั้น ท่านให้นึกถึงองค์พระที่กำเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเป็นพระเครื่องที่สร้างและอธิษฐานจิตด้วยวิชาของหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า จะสามารถดิ้นได้ เดินได้ เมื่อภาวนาไปจนใจสบาย จะพบว่าพระที่กำเอาไว้มีอาการดิ้นอยู่ในมือเลยทีเดียว

อีกทั้งเมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไปจนถึงขั้นจิตละเอียดเบาสบาย ก็จะสามารถพูดคุยกับองค์พระที่เรานึกถึงหรือพระที่อยู่ในมือได้ ซึ่งองค์พระท่านสามารถตอบปัญหาในสิ่งที่เราสงสัยคาใจอยู่ได้เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพระเครื่องที่อธิษฐานจิต ตามแนวทางหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า สามารถพูดได้ทุกองค์ ซึ่งตรงนี้หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า พระที่ท่านสร้างนั้น เราสามารถถามได้ทั้งสามโลกธาตุ เพราะท่านตอบได้ทั้งหมด อยู่ที่ผู้ปฏิบัติจะเข้าถึงหรือไม่ก็เท่านั้นเอง

ประวัติพระอาจารย์วรงคต วิริยธโร(หลวงตาม้า)








พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
หน่อพุทธภูมิ ผู้สืบสานกระแสพลังเหนือพลังแห่งหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ



โดย : รอบทิศ ไวยสุศรี แฟนพันธุ์แท้พระเกจิคณาจารย์


“นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”



“พระคาถามหาจักรพรรดิ” เป็นพระคาถาที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก“ชมพูปติสูตร” ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบทิฐิพญาชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ โดยผู้ที่รจนาพระคาถาบทนี้ขึ้นมาก็คือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา พระผู้เป็นดั่งร่มโพธิ์แก้วที่แผ่กิ่งก้านใบบุญบารมีมอบความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ลูกศิษย์ทั่วทุกชนชั้นอย่างไม่มีประมาณตามแนวทางแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย์โพธิสัตว์และหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งพระคาถานี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ใช้ในการรวมบารมีแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ และใช้ในการอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน โดยท่านได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหลายรวมทั้งพระคาถามหาจักรพรรดินี้ไว้ให้แก่ลูกศิษย์ผู้เป็นหน่อโพธิ์แก้วต้นใหม่ที่จะทำหน้าที่สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ลูกศิษย์ในรุ่นหลังต่อไปก็คือ พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร หรือ หลวงตาม้า แห่งวัดถ้ำเมืองนะ นั่นเอง



พบหลวงปู่ดู่ ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง



ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น ท่านทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่(บริเวณซอยอารีย์) และเพื่อนคนหนึ่งได้ไปบวชที่วัดสะแกท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณพ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o โดยหลวงปู่ดู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิและสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์ “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า “หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”

หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้”


ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและนำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง


บวชจิตให้เป็นพระ



ในสมัยที่หลวงตาเป็นฆราวาสนั้น ท่านเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-อยุธยาเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่างๆกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลากว่า ๑o ปี และมีความรู้สึกอยากบวชมาตลอด ต่อมาเมื่อปรึกษาเรื่องการบวชกับหลวงปู่ท่านได้บอกว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ โดยท่านสอนเรื่อง“การบวชจิต”ไว้ว่า ขณะกราบพระ ขณะนั่งสมาธิภาวนาก็ให้นึกว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ” - เรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ “ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ” - เรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ “สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” - เรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์

สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็เป็นภิกษุ หญิงก็เป็นภิกษุณี พยายามรักษาใจให้เป็นพระอยู่เสมอ จะมีอานิสงส์สูงเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ ตื่นมาก็กราบพระ นั่งรถ ทำงาน กินข้าว อาบน้ำ ทำอะไรก็ให้นึกถึงพระ ทำใจให้อยู่ในบุญเสมอ ตามองอะไรก็ให้ได้บุญ มองพระ ดูบทสวดมนต์ หูฟังอะไรก็ให้ได้บุญ ได้ยินใครทำบุญก็อนุโมทนา ไม่ใช่หูผึ่งฟังแต่เรื่องนินทาว่าร้ายกัน ใจอยู่กับบุญไปเรื่อยๆมันจะเบาสบาย อะไรที่ไม่เป็นบุญมันจะไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากกินเหล้าเมายาสร้างบาปกรรมใดๆ พอใจเป็นพระบ่อยๆเข้า กายก็จะค่อยๆเป็นพระไปเอง ต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอก บางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจร ก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ



ตายแล้วเกิดใหม่ก่อนออกบวช



แม้หลวงตาจะเป็นฆราวาสแต่ก็บวชใจเป็นพระเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ ๑ ปีก่อนจะออกบวชจริงๆ ขณะที่ท่านขับมอเตอร์ไซด์อยู่ที่อยุธยา รถของท่านก็โดนรถเฉี่ยวจนตัวท่านลอยสูง แล้วตกลงมาหัวโหม่งกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนสลบไป!! หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่ากะโหลกของท่านร้าว แต่โชคดีมากที่ไม่มีเลือดคั่งในสมองและไม่มีบาดแผลรุนแรงใดๆเลย เพียง ๓ เดือนกะโหลกก็ประสานกันดีเหมือนเดิม ซึ่งหลวงตาเล่าให้ฟังว่าวันนั้นท่านห้อยเพียงพระและสวมแหวนของหลวงปู่เท่านั้น ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นท่านจึงไปกราบหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้บอกว่า “ตายแล้วเกิดใหม่ เอ็งมีชีวิตใหม่แล้ว ชีวิตเก่าตายไปแล้ว นี่คือชีวิตใหม่แล้ว!!”


บวชพร้อมทั้งกายและใจ



หลังผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ผ่านการบวชจิต การศึกษาแนวทางปฏิบัติต่างๆจากหลวงปู่ดู่มาอย่างเต็มภูมิแล้ว หลวงตาก็พร้อมจะบวชเป็นพระทั้งกายและใจ แต่เนื่องจากหลวงปู่ดู่ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านได้บอกไว้ว่า “เวลาบวชต้องดูอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่เป็นพระ เราก็เป็นพระไม่ได้” หลวงตาจึงได้ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดพุทไธศวรรย์ จ.อยุธยา โดยมีพระพุทไธศวรรย์วรคุณ (หลวงพ่อหวล) เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ และได้รับฉายาว่า “พุทธสโร” ต่อมาเมื่อยัติเป็นธรรมยุติจึงได้ฉายาว่า "วิริยะธโร"



หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้อยู่ให้ครบพรรษาก่อน โดยขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวลผู้สืบวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงตาด้วย ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ขอไม่เรียนเพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด



หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้ หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้!!”



พระของหลวงปู่วิ่งได้ พูดได้ พระของหลวงตาก็ดิ้นได้เหมือนมีชีวิต



หลายท่านอาจสงสัยว่า พระที่หลวงปู่ให้มานั้นเป็นพระปูนไม่มีชีวิต จะพูดบอกตอบคำถามของหลวงตาได้อย่างไร แต่ในลูกศิษย์สายหลวงปู่ดู่นั้นทุกคนจะรู้ดีว่า “พระของหลวงปู่มีชีวิต!” ดังที่หลวงตาเคยเล่าว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่นำพระมาใส่ในกะละมัง แล้วให้ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นซึ่งมีหลวงตาอยู่ด้วย ช่วยกันหลับตาอธิษฐานจิตปลุกเสกพระ ทุกคนก็หลับตาแล้วสักพักก็ได้ยินเสียงดัง‘โกรกกรากๆ..’ ทุกคนก็นึกว่าหลวงปู่เอามือลงไปกวนในกะละมังเลยไม่ได้สนใจอะไร ต่อมาลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ในตอนนั้นได้มาเล่าให้ฟังว่า ตอนได้ยินเสียงนั้นเขาแอบลืมตาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่ได้เอามือลงไปกวน ท่านเพียงเอามือจับกะละมัง แต่พระที่อยู่ข้างในกลับวิ่งวนไปมาจนเกิดเสียงดัง!! พอท่านหันมาเห็นว่าเขาแอบดู ท่านเลยทำมือจุ๊ปากห้ามไม่ให้เล่าให้ใครฟังจนท่านมรณภาพไปแล้วจึงได้มาเล่าให้ฟังทีหลัง”


เมื่อหลวงตาเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงเรื่องอัศจรรย์ที่ได้เจอจากพระที่หลวงตาท่านแจกให้ไม่ได้ ตอนได้พระมาใหม่ๆ ด้วยนิสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริง ผู้เขียนจึงเอาพระมาลองกำทำสมาธิดู ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสพลังงาน ที่เบาสบายวิ่งผ่านจากพระเข้ามาในตัว ทำให้นั่งภาวนาได้สงบดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอจิตนิ่งสงบดีได้สักพักผู้เขียนก็ต้องตกใจ... เพราะพระที่กำไว้ในมือนั้น เกิดอาการดิ้นไปมาได้!! พอลองลืมตาดูก็หยุดไป ในใจก็สงสัยว่าคงคิดไปเอง แต่พอหลับตากำพระทำสมาธิต่อสักพัก พระก็เริ่มดิ้นอีก คราวนี้ดิ้นแรงกว่าเดิมจนได้ยินเสียงดัง‘ แกร๊กๆ..’ ซึ่งเป็นเสียงพระ ๒ องค์ที่กำไว้กระทบกัน!! หลังจากนั้นพระก็ยังดิ้นๆหยุดๆอยู่อีกหลายครั้งจนผู้เขียนมั่นใจว่าไม่ได้ คิดไปเองแน่ๆ และเมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาเล่าให้ลูกศิษย์หลวงตาฟัง กลับไม่มีใครมีท่าทีตื่นเต้นเลยเพราะทุกคนบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีหลายคนเคยนำพระของท่านไปกำทำสมาธิแล้วพระเกิดดิ้นได้เช่นนี้เหมือนกัน เมื่อรู้เช่นนั้นผู้เขียนจึงลองนำพระของหลวงตาไม่ว่าจะเป็นพระเนื้อผง เหรียญรุ่นต่างๆ หรือแม้แต่ “เหรียญดวงโพธิญาณ กำลังแผ่นดิน” ซึ่งเป็นเหรียญโลหะหล่อที่ข้างใต้อุดผงต่างๆมากมาย มีน้ำหนักพอสมควร มาลองกำทำสมาธิดูก็พบว่าเมื่อใจสงบเบาสบายดีแล้ว พระจะดิ้นไปมาได้ทุกองค์จริงๆ (อย่าเพิ่งเชื่อผู้เขียนจนกว่าจะได้ลองปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเอง)


เมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาถามหลวงตา ท่านก็ยิ้มและบอกว่า “พระของหลวงปู่หลวงตา ดิ้นได้ พูดได้ทุกองค์!!” เพราะเวลาอธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ท่านจะอาราธนารวมกำลังบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทั้งปวง เทพพรหมทั่วสามแดนโลกธาตุ บุญบารมีของท่านทั้งหมด ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลัง ผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระเครื่องทุกองค์ และยังได้อธิษฐานจิตด้วยวิชา “ภูตพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นวิชาพิเศษในสายหลวงปู่ดู่ ที่ทำให้วัตถุมงคลของท่านทุกองค์สามารถดิ้นได้ พูดได้ ราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะกับผู้ที่หมั่นนำไปกำภาวนาจนจิตเกิดความสงบเบาสบาย และสามารถจูนพลังงานจิตของตนให้เข้ากับพลังเหนือพลังที่หลวงปู่หลวงตาได้อธิษฐานไว้ในพระได้แล้ว


ขณะที่ท่านผู้อ่านกำลังนึกสงสัยอยู่ว่า “พระของหลวงปู่หลวงตามีชีวิต ดิ้นได้ พูดได้ จริงหรือ? หลวงตาตามกระแสหลวงปู่จนไปเจอถ้ำเมืองนะได้อย่างไร? ถ้ำนี้เกี่ยวพันกับหลวงปู่หลวงตาอย่างไร? หลวงตาเริ่มสร้างพระตามแนวทางหลวงปู่ดู่ด้วยเหตุใด?...” อย่านั่งสงสัยอยู่เฉยๆ หากมีโอกาสลองขึ้นไปกราบหลวงตาที่ถ้ำเมืองนะ ขอพระผงจักรพรรดิพร้อมประคำที่ท่านจะแจกให้เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำมาลองกำ ทำสมาธิพิสูจน์ดูด้วยตนเอง หรือหากไม่มีโอกาสไป ก็ร่วมทำบุญบูชา “เหรียญดวงโพธิญาณ กำลังแผ่นดิน” ซึ่งหลวงตาได้อธิษฐานจิตรวมกระแสบุญบารมีพลังเหนือพลังอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ไว้อย่างสมบูรณ์พร้อมที่สุด (ดูรายละเอียดได้จากwww.luangtama.com) โดยปัจจัยทุกบาททุกสตางค์ที่ร่วมทำบุญนี้ เข้าสมทบกองทุนพุทธพรหมปัญโญเพื่อใช้ในงานบุญต่างๆของทางวัด ใช้สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้เป็นทุนการศึกษากับเด็กนักเรียน รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างพระผงจักรพรรดิเพื่อแจกแก่ผู้สนใจนำไปใช้ ฝึกสมาธิภาวนาต่อไป ได้ทั้งพระที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนมีชีวิตไว้บูชา ได้ทั้งร่วมบุญสร้างพระไว้แจกแก่ผู้ปฏิบัติธรรมและเมื่อนำพระไปกำภาวนา ท่านยังอาจได้พบประสบการณ์อันอัศจรรย์อีกมากมายที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง และอาจได้รู้คำตอบที่สงสัยอยู่ในใจตอนนี้ทั้งหมดโดยไม่ต้องรอคำเฉลยหรือตอนต่อไป เพราะกระแสคำตอบทุกอย่างได้ถูกบรรจุอยู่ในพระทุกองค์ที่ท่านทำบุญบูชาไปแล้ว เหลือเพียงท่านจะลองหมั่นสวดมนต์ภาวนา ทำจิตอยู่กับพระอย่างเบาสบาย จนเปิดล็อคทุกคำตอบที่อยู่ในพระที่หลวงตาท่านตั้งใจอธิษฐานจิตปลุกเสกนี้ได้ เมื่อใดเท่านั้น

ประวัติหลวงพ่อ(ดู่) พรหมปัญโญ





ประวัติ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา

ชาติภูมิ


หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง เป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง นามสกุล หนูศรี มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 3 คน ตัวท่านเป็นคนสุดท้อง เมื่อหลวงพ่อถือกำเนิดได้ไม่นาน มารดาของท่านก็เสียชีวิต และเมื่อท่านอายุได้ 4 ปี บิดาของหลวงพ่อก็เสียชีวิตอีก ทำให้หลวงพ่อกำพร้าตั้งแต่วัยเยาว์ ท่านจึงได้อาศัยอยู่กับยาย และ พี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ เมื่อท่านถึงวัยที่ต้องศึกษา ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่ วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศธรรมประวัติ ตามลำดับ

เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นทารกมีเหตุอัศจรรย์ที่ทำให้เชื่อว่าท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด คือในช่วงหน้าน้ำหลาก คืนหนึ่งขณะที่บิดาและมารดากำลังทำขนมอยู่นั้น มารดาท่านได้วางตัวท่านไว้บนเบาะนอกชานบ้าน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปน้ำ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ตัวท่านกลับไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำไปติดอยู่ข้างรั้ว กระทั่งสุนัขที่บ้านเลี้ยงไว้ มาเห็นเข้าจึงเห่าและวิ่งกลับไปกลับมา มารดาท่านจึงสงลัยว่าคงจะมีเหตุการณ์ผิดปกติ จึงได้ตามสุนัขออกมาดู ก็พบท่านลอยน้ำอยู่ติดกับข้างรั้ว

อุปสมบท


เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้บรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ตรงกับวันอาทิตย์แรม 4 ค่ำ เดือน 6 ณ อุโบสถวัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับ ฉายาว่า “ พรหมปัญโญ ”

ศึกษาธรรม


ในพรรษาแรกๆ นั้น หลวงปู่ดู่ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม (ในสมัยนั้นเรียกว่าวัด ประดู่โรงธรรม) โดยศึกษากับ ท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

ในด้านการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานนั้น หลวงปู่ดู่ได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ และ หลวงพ่อเภา ซึ่งเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่นและมีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ 2 ประมาณปลายปี พ.ศ. 2469 หลวงพ่อกลั่นก็ได้มรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษากับหลวงพ่อเภาเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้ศึกษาจากตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่านเป็นผู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี สระบุรี ฯลฯ

เมื่อพ.ศ. 2486 ครั้นออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อก็ออกเดินธุดงค์จากวัดสะแก มุ่งหน้า สู่ป่าเขาแถบจังหวัดกาญจนบุรี ในระหว่างทาง ก็แวะนมัสการสถานที่สำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา

นิมิตธรรม


ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.2500 เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็นและเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง

“ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ”
ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์เป็นวิธีที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอาพระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา




เมตตาธรรม

หลวงปู่ดู่ ท่านให้การต้อนรับแขกอย่างเสมอเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปรามหากมีผู้เสนอตัวเสนอหน้าคอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกที่มาหาท่าน เพราะท่านทราบดีว่ามีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตสาห์เดินทางมาไกล เพื่อนมัสการและซักถามข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้งยังไม่สามารถเข้าพบได้โดยสะดวก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ เป็นเมตตาธรรมอย่างสูงที่หลวงพ่อมีให้ศิษย์ทั้งหลาย และหากมีผู้สนใจการปฏิบัติกรรมฐาน มาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

หลวงปู่ทวด


ท่านให้ความเคารพในองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นอย่างมากทั้งกล่าวยกย่อง ว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม เป็นโพธิสัตว์จะได้มาตรัสรู้ ในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ยึดมั่น และระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือประสบปัญหาทางโลก ท่านว่า หลวงปู่ทวดท่านคอยที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนอย่าท้อถอย หรือละทิ้งการปฏิบัติ

สร้างพระ


หลวงพ่อดู่ ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า บุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยงทางด้านจิตใจ เพราะศิษย์ หรือ บุคคลนั้น มีทั้งที่ใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับ ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคลยังดีกว่า ที่จะไปให้ติดวัตถุอัปมงคล” แม้ว่าหลวงปู่ดู่ท่าน จะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติ การภาวนา นี้แหละ เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดีเช่นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากท่านว่า “ ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ”

ปัจฉิมวาร


นับตั้งแต่ พ.ศ. 2527 เป็นต้นมาสุขภาพหลวงพ่อเริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงพ่อ(ดู่)เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป

ประมาณปลายปี พ.ศ.2532 หลวงปู่ดู่พูดบ่อย ครั้ง เกี่ยวกับการที่ท่านจะละสังขาร ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่ดู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกตเห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงพ่อท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใสราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์เห็นผิดสังเกต หลวงพ่อยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากรายท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆงะๆ” หลังจากคืนนั้นหลวงพ่อก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของ วันพุธที่ 17 มกราคมพ.ศ. 2533 รวมสิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่างดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏอยู่ในดวงใจของศิษยานุศิษย์ตลอดไป

ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า...

“ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง

ก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้า

แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว

เมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ”



"แกนึกถึงข้า ข้าก็นึกถึง แกไม่นึกถึงข้า ข้าก็ยังนึกถึงแก"